วันอาทิตย์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ทำเงินบนโลกไอที (1) : Search Engine Marketing รู้จักไว้มีแต่ได้

ทำเงินบนโลกไอที (1) : Search Engine Marketing รู้จักไว้มีแต่ได้
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 21 มีนาคม 2552 15:24 น.
ใคร ว่าบทความไอทีอ่านแล้วจะมีแต่เรื่องเสียเงิน ทั้งเทคโนโลยีล้ำสมัยหรือสินค้ารุ่นใหม่ที่มักปลุกกิเลสให้ชาวไอทีควักเงิน ในกระเป๋าออกมาจับจ่ายอยู่ตลอดเวลา ต่อไปนี้คือบทความไอทีที่เชื่อว่าจะทำให้ผู้อ่านสามารถทำเงินจากโลกไอทีได้ หากตั้งใจแน่วแน่กับการศึกษาและปฏิบัติจริง

"ผู้จัดการไซเบอร์" ขอนำเสนอบทความชุดเรื่อง "ทำเงินบนโลกไอที" เพื่อแสดงมุมมองของการตลาดออนไลน์ในยุค 2009 จากนานาเจ้าของเว็บไซต์และบริษัทที่เป็นสมาชิกในสมาคมผู้ประกอบการอีคอม เมิร์ชไทย โดยเราจะนำท่านไปทำความรู้จักกับการทำเงินขั้นพื้นฐานในสัปดาห์แรก และจะต่อยอดการทำเงินขั้นสูงขึ้นในสัปดาห์ถัดไป

***

เจาะตลาดโลกด้วย SEM
(บทความโดย ปภาดา อมรนุรัตน์กุล paphada@redrank.co.th)

คุณ มีเว็บไซต์หรือยังค่ะ?? แล้วตอนนี้มีคนเข้าเว็บไซต์ของคุณเป็นจำนวนเท่าไร?? มียอดซื้อออนไลน์มากน้อยขนาดไหน? ปัญหาเหล่านี้จะหมดไป หากคุณได้รู้จักกับ Search Engine Marketing

คนส่วนใหญ่ที่เปิดเว็บไซต์มาหลายปีแต่ขายสินค้าได้น้อย มักจะคิดว่าเป็นเพราะการไม่มีความรู้เรื่องเว็บไซต์ หรือเพราะการใช้เว็บสำเร็จรูปในการเปิดร้านขายของ จนหลายคนทำใจได้และพอใจกับการขายสินค้าได้แค่นั้น แต่ความเป็นจริงแล้ว ปัจจุบันมีเว็บไซต์ขนาดเล็กจำนวนไม่น้อยที่ใช้เว็บไซต์สำเร็จรูปธรรมดา ไม่ได้มีลูกเล่นอะไรมากมาย ที่สามารถทำยอดขายได้เพิ่มขึ้นถึง 400%

เคล็ดลับความสำเร็จอยู่ที่เขาได้รู้จักกับการทำตลาดออนไลน์ ที่เรียกกันว่า SEM ซึ่งหากเราเป็นผู้ประการธุรกิจแบบ ecommerce เราจะสามารถวัดค่า ROI (Return Of Investment) ได้ดีทีเดียว

ใช้เสิร์ชเอนจิ้นเป็นเครื่องมือ

Search Engine Marketing คำนี้ไม่ได้เป็นศัพท์ใหม่ หลายๆ คนรู้จักกันมานานแล้ว แต่ในประเทศเราเองนั้น เพิ่งจะเริ่มตื่นตัวกับการทำ SEM นี้ในช่วง 5 ปีหลังที่ผ่านมานี้เอง หากใครยังไม่รู้ว่า Search Engine Marketing คืออะไร จะขออธิบายดังนี้

SEM หรือ Search Engine Marketing นั้น หากแปลเป็นภาษาไทยง่ายๆ จะหมายถึงการตลาดผ่านเครื่องมือค้นหาทางอินเทอร์เน็ต ซึ่งเครื่องมือค้นหาทางอินเทอร์เน็ต ที่เด่นๆ นั้นก็ได้แก่ Google, Yahoo และ Live (MSN) โดยการทำ SEM นี้ แบ่งออกเป็น 2 ส่วนคือ

การทำ Search Engine Optimization (SEO) คือการปรับแต่งหน้าเว็บไซต์ของเราให้โดนใจ Search Engine ต่างๆ อาจจะมีการปรับโครงสร้างภายใน code, โครงสร้าง link หรือ บางทีเมื่อก่อนที่เราเคยโปรโมทเว็บเราด้วยการแลกลิงค์ (link exchange) นั้น ก็ถือว่า เป็นการทำ SEO แบบหนึ่งอีกด้วย

แต่การจะทำ SEO ได้นั้น ต้องใช้ปัจจัยหลายอย่างด้วยกัน ทั้ง off-page และ on-page factor ซึ่งสิ่งเหล่านี้ ล้วนมีผลกระทบกับการทำ SEO เป็นอย่างยิ่ง แต่อะไรจะมีคะแนนมากหรือน้อย อย่างไรนั้น ต้องไปทดลองทำด้วยตนเองถึงจะรู้ เมื่อเราทำ SEO แล้วนั้น เว็บไซต์ที่เราทำจะไปปรากฏบริเวณด้านซ้ายมือของผลการค้นหา ซึ่งแน่นอนว่า บริเวณนี้จะมีคนคลิกเป็นจำนวนมาก และคนส่วนใหญ่จะคลิกเว็บไซต์ที่ปรากฏผลในอันดับต้นๆ ของผลการค้นหาเป็นจำนวนมาก

เรียกได้ว่า ใครมีเว็บไซต์อยู่ในอันดับต้นๆ ของผลการค้นหาจะสามารถทำเงินได้อย่างสบายๆ

เรามาดูอีกฝั่งของผลการค้นหากันบ้าง ผลการค้นหาฝั่งขวามือนั้น เราจะเรียกกันว่า เป็น Pay per click (PPC) เราซึ่งเป็นเจ้าของเว็บไซต์ไม่ต้องกลุ้มใจกับอันดับที่ไม่ขึ้นในฝั่งซ้าย (SEO) เพราะเราสามารถทำให้เว็บไซต์ของเราขึ้นอันดับในฝั่งขวาของผลการค้นหาได้ ง่ายๆ ด้วยการจ่ายเงินค่าโฆษณาให้กับ Search Engine โดยค่าใช้จ่ายนั้น จะมีการจ่ายเป็นต่อคลิก คือ เมื่อใดก็ตามที่มีคนเข้ามาคนค้นหาแล้วโฆษณาเว็บไซต์ของเราปรากฏขึ้นบนฝั่ง ขวามือ เราจะยังคงไม่เสียค่าโฆษณา

แต่หากผู้ค้นหาสนใจสินค้าหรือบริการของเรา แล้วคลิกโฆษณาเพื่อเข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์ของเราแล้วล่ะก็ เราจึงจะเสียค่าใช้จ่าย ต่อการคลิกของลูกค้าแต่ละคน ซึ่งแน่นอนว่า ยอดคนเข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์ของเราสักคน ก็มีโอกาสที่เขาจะพัฒนามาเป็นลูกค้าของเราได้ต่อไปในอนาคต เพราะนี่คือ สิ่งที่เขากำลังค้นหาอยู่จริงๆ ซึ่งถือเป็นการลงทุนที่ต่ำมาก ต่ำกว่าการใช้งบโฆษณาไปกับสื่ออื่นๆ ที่ไม่ตรงกลุ่มเป้าหมาย

ลองคิดดูซิว่า หากเรามีการลงโฆษณาในหน้าหนังสือพิมพ์สักฉบับนึง ประมาณ 10,000 บาท แน่นอนว่า คนที่อ่านหนังสือพิมพ์จะได้เห็นโฆษณาเรา แต่ใน 200,000 คนที่อ่านหนังสือพิมพ์นั้น อาจจะมีคนสนใจสินค้าเราเพียงแค่ 500 คนเท่านั้น และภายใน 500 คนจะกลายเป็นลูกค้าเราจริงๆ เพียงแค่ 50 คนเท่านั้น ในขณะที่เราลงโฆษณาด้วย pay per click คนที่เข้ามาค้นหาข้อมูลบน Search Engine นั้น จะเป็นคนที่มีความสนใจในสินค้านั้นๆ อยู่แล้ว หากเรามีการเขียนคำโฆษณาที่ดี และดึงดูดให้เขาคลิกได้โอกาสที่เขาจะกลายเป็นลูกค้าของเราจะมีมากกว่าการลง ทุนโฆษณาในแบบอื่นๆ ซึ่งการทำ ppc นั้นสามารถวัดผล ROI ได้อย่างชัดเจนจากการเริ่มทำกันเลยทีเดียว

Pay per click นั้นมีชื่อเรียกกันหลากหลายชื่อเลยทีเดียว หากใครไปได้ยินชื่อที่เรียกว่า Keywords Advertising, Cost Per Click (CPC), Sponsored Link, Paid Placement และจะมีชื่อเรียกไปตาม Search Engine ต่างๆ ด้วย เช่น Google ก็จะเรียกว่า “Google AdWords” ส่วน Yahoo ก็จะเรียกว่า “Y!SM Yahoo Search Marketing” เป็นต้น แต่ขอให้รู้ไว้ว่า มันคือกระบวนการทำงานแบบเดียวกันนั่นเอง

SEO หรือ PPC อย่างไหนดีกว่า

จากประสบการณ์ของผู้เขียน ถ้าให้ถามว่า การทำ SEM แบบไหนดีกว่ากัน? ระหว่างการทำ SEO กับ PPC ผู้เขียนก็บอกได้เลยว่า ดีไปกันคนละแบบ
ในฝั่งขวาที่เป็น ppc นั้น เราสามารถเขียนคำโฆษณาที่เราต้องการหรือสิ่งที่เราอยากจะสื่อความคิดของเรา ให้กลุ่มเป้าหมายของเราได้ชัดเจน เช่น ถ้าเราจะขายบ้านสักหลัง เราอาจะเขียนโฆษณาในฝั่งขวาว่า

บ้านสวย พร้อมอยู่
ใกล้รถไฟฟ้า แถวบางนา
จองวันนี้ เพียง 1.3 ล้านบาท

โดยเราจะใช้ keyword ว่า บ้านบางนา เป็นต้น เพราะนั่นหมายความว่า คนที่เข้ามาค้นหาคำว่า “บ้านบางนา” เขามองหา บ้านที่อยู่บางนา ซึ่งถ้าเราเขียนคำโฆษณาได้โดนใจคนค้นหา สิ่งที่เขียนอาจจะโดนใจด้วยคำว่า ราคาแค่ 1.3 ล้านบาท ซึ่งเป็นงบประมาณ ที่คนค้นหาต้องการพอดี ก็แน่นอนว่า โอกาสที่คนค้นหานี้จะเป็นลูกค้าเรามีสูงมากแล้ว แต่การจะกลายเป็นลูกค้าของเราได้หรือไม่นั้น ต้องขึ้นอยู่กับ หน้าตาของเว็บไซต์ และรูปแบบของบ้านเป็นสำคัญอีกด้วย

มาดูในฝั่ง SEO กันบ้าง ถึงแม้ว่า เราจะไม่สามารถเขียนคำโฆษณาอย่างที่เราต้องการได้ แต่อย่างที่เราๆ ท่านรู้กันดีอยู่ว่า เมื่อไรก็ตามที่เรามีการค้นหา เราจะคลิกฝั่งซ้ายมือก่อนเสมอ บางทีเว็บไซต์อันดับที่ 1 นั้นไม่ได้มีสิ่งที่เราต้องการเลย แต่คนส่วนใหญ่ก็มักจะคลิกอันดับหนึ่งของผลการค้นหาก่อนเสมอ ถ้าไม่ใช่แล้วค่อยกลับมาหาอันดับที่ 2 3 4 ต่อไปตามลำดับ นี่เองเป็นสาเหตุที่ว่า ทำไมแต่ละเว็บไซต์จึงอยากให้เว็บไซต์ของตัวเอง ติดในอันดับต้นๆ ของผลการค้นหาใน Search Engine กันเหลือเกิน

ไม่ต้องขายของก็รวยได้

เว็บไซต์ของบางคนก็ไม่ได้มีการขายของผ่านทางหน้าเว็บ แต่ก็มาจ้างทำ SEM ก็มีเหมือนกัน หลายคนอาจสงสัยว่า แล้วถ้าเขาไม่ได้ขายของ เว็บไซต์ของเราจะอยากติดหน้าแรกไปทำไมกัน อยากดังแค่นั้นหรือ? จริงๆ แล้ว ความอยากดัง อาจเป็นส่วนหนึ่ง แต่ถ้าให้มองกันดีๆ เราจะพบว่า หาก เว็บไซต์ของเรา ที่ไม่ได้มีขายของอะไร แต่มีคนเขาเยี่ยมชมมากมาย และมีคนเข้ามาเยี่ยมชมอยู่สม่ำเสมอแล้ว เราไม่จำเป็นต้องหาของมาขายเลย เพราะแค่ขาย Banner ก็รวยแล้วค่ะ

เว็บไซต์อย่างเช่น sanook, kapook หรือ manager เป็นเว็บไซต์ที่ไม่ได้ขายของ และเน้นข้อมูล-ความบันเทิงเป็นหลัก แต่มีคนเข้าชมวันละไม่ต่ำกว่า 100,000 uip ซึ่งแน่นอนว่า ต้องมีอีกหลายๆ บริษัทฯ ที่อยากได้ลูกค้าจากคนในเว็บไซต์นี้แน่นอน ถ้าคิดว่า แบ่งสัก 10% คนที่เข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์นี้ไปให้คนที่นำ banner มาติด ก็จะพบว่า ใน 1 วัน เว็บไซต์ของเราจะมีคนเข้าชมประมาณ 10,000 uip เลยทีเดียว

เพราะ ฉะนั้นแล้วไม่ว่าเราจะมีเว็บไซต์ประเภทใด หากมีการติดอันดับในผลการค้นหา ไม่ว่าจะเป็นฝั่งขวามือหรือซ้ายมือ มันก็จะช่วยให้เราสามารถทำเงินได้เช่นกัน!!

***ทำเงินบนโลกไอทีสัปดาห์หน้า จะพูดถึงการตลาดด้วยเว็บล็อก อย่าพลาดนะคะ

9 เทรนด์สินค้าไอทีปี 2009

ผู้จัดงานคอมมาร์ตเผย 9 แนวโน้มโลกไอทีมาแรงปี 2009 ทุกแนวโน้มชี้ว่าสินค้าไอทีต้องถูกและดีเท่านั้นถึงจะอยู่รอด เชื่อสงครามราคาจะเกิดขึ้นเพียงส่วนเดียวแต่จะต้องไปฟาดฟันกันที่คุณภาพว่า ใครคุ้มค่ากว่า ผลที่เกิดขึ้นคือจำนวนสินค้าไอทีที่จำหน่ายในปีฉลูจะไม่ลดลง แต่สัดส่วนกำไรจะตกต่ำแทน มั่นใจแม้เศรษฐกิจทั้งปีจะซบเซาเผาจริงเพียงไร แต่ตราบใดที่ผู้บริโภคยังมีกำลังซื้อและความต้องการ อุตสาหกรรมไอทีก็ยังไม่ถึงขาลง

ประสิทธิ์ วรฉัตราวณิช รองผู้จัดการทั่วไป และผู้อำนวยการฝ่ายนิวมีเดีย บริษัท เอ.อาร์. อินฟอร์เมชัน แอนด์ พับลิเคชัน จำกัด กล่าวว่าทั้ง 9 แนวโน้มนี้เป็นการพิจารณาจากข้อมูลที่มีและสิ่งที่ได้พบในงานแสดงสินค้าไอที หลากหลายงาน ข้อมูลบางส่วนสะท้อนให้เห็นว่าสินค้าอิเล็กทรอนิกส์สำหรับผู้บริโภค (Consumer Electronic : CE) ในปี 2009 กำลังมีพัฒนาการมากขึ้นจนทับซ้อนสินค้าข้ามสายพันธุ์ เชื่อว่าหลายตลาดจะถูกกลืนกินไป

“ตลาด จะเบลอมากขึ้น คอมพิวเตอร์ตัวเล็กอย่างเน็ตบุ๊กจะเริ่มไม่แตกต่างจากโน้ตบุ๊ก โทรศัพท์มือถือก็จะพัฒนาฟังก์ชันกล้องถ่ายภาพจนทับซ้อนกับกล้องดิจิตอลชนิด คอมแพค และในอนาคต การที่สมาร์ทโฟนจะหันมากินตลาดเน็ตบุ๊กก็อาจเกิดขึ้นได้“

ประสิทธิ์บอกด้วยว่าปี 2008 ที่ผ่านมาเป็นปีที่โปรดักต์ไลน์สินค้าไอทีวิ่งเร็วมาก ความถี่ในการออกสินค้าไอทีทั้งปีค่อนข้างสูง แต่ปี 2009 เชื่อว่าความถี่นี้จะลดลง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะสหรัฐฯคือแหล่งผลิตเทคโนโลยีสำคัญของโลก หากสหรัฐฯต้องประสบปัญหาเศรษฐกิจจริงอย่างที่คาดการณ์ ก็เป็นเรื่องธรรมดาที่ความเร็วในการออกสินค้าไอทีใหม่จะช้าลงทั่วโลก

เน็ตบุ้กจะไล่กินตลาดโน้ตบุ๊ก

“เดสก์ ท็อปถูกโน้ตบุ๊กบี้มาแล้ว กำลังคิดว่าโน้ตบุ๊กจะถูกเน็ตบุ๊กบี้อีก ที่ผ่านมา ผู้บริโภคหลายคนมองไม่ออกว่าเน็ตบุ๊กและโน้ตบุ๊กเป็นคนละชนิดกัน มองแค่ว่าตัวเล็กกว่าและไม่มีไดร์ฟ แต่ปี 2009 เน็ตบุ๊กจะเพิ่มขนาดหน้าจอเป็น 12 นิ้ว เมื่อจอใหญ่ขึ้นคีย์บอร์ดก็ใหญ่ขึ้นตาม และไม่แน่ก็อาจจะเพิ่มไดร์ฟดีวีดีมาให้ สิ่งเหล่านี้จะทำให้ผู้บริโภคยิ่งมองไม่ออกว่าเน็ตบุ๊กต่างจากโน้ตบุ๊กอย่าง ไร โดยผู้ผลิตหลายรายออกมาประกาศแล้วว่า ปี 2009 จะทำตลาดเน็ตบุ๊กเพิ่มขึ้น คิดเป็นสัดส่วน 50%” ประสิทธิ์กล่าว

เน็ตบุ๊ก (Netbook) คือคอมพิวเตอร์พกพารุ่นเล็กราคาประหยัดที่เน้นความสามารถในการเชื่อมต่ออิน เทอร์เน็ตเป็นหลัก ประสิทธิ์เชื่อว่าเน็ตบุ๊กจะน้ำหนักเบาขึ้นแต่สามารถรองรับการเชื่อมต่อได้ ทุกชนิด ราคาเฉลี่ยจะอยู่ที่หมื่นบาทต้นๆ รุ่นที่ราคาแตะ 20,000 จะลดราคาลง ขณะที่โน้ตบุ๊กจะหนีการรุกรานของเน็ตบุ๊กด้วยการย้ายไปทำตลาดกลุ่มผู้สร้าง คอนเทนท์ เช่นกลุ่มผู้สร้างงานตัดต่อวีดีโอหรือมัลติมีเดีย แม้จะเป็นตลาดเฉพาะกลุ่มก็ตาม

“โน้ตบุ๊กจะฉีกไปด้วยเทคโนโลยีที่เหนือกว่า เชื่อว่าโน้ตบุ๊กรุ่นเล็กจะไม่ตายเพราะยังต่างเรื่องราคา เช่นเดียวกับคอมพิวเตอร์เดสก์ท็อป ที่ยังไม่ตายแม้จะถูกโน้ตบุ๊กรุกราน”

มือถือใหม่จะเป็นระบบสัมผัสเกือบทั้งหมด

ประสิทธิ์เชื่อว่า โทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ในปี 2009 จะเป็นระบบสัมผัสหรือทัชสกรีนเกือบทั้งหมด แต่รุ่นล้ำสมัยอาจจะมาพร้อมฟังก์ชันพิเศษอย่างโปรเจคเตอร์ ฟังก์ชันกล้องถ่ายภาพจะพัฒนาไปเป็น 8 ล้านพิกเซลจนทับซ้อนกล้องดิจิตอลชนิดคอมแพค ดีไซน์ยังเป็น “สี่เหลี่ยม แบน บาง ติดกล้อง หน้าจอเรียบ” เช่นเดิม มือถือจากจีนจะครองใจรากหญ้าต่อไป

“ตอน นี้มือถือมีหมดแล้ว ที่ยังขาดคือโปรเจคเตอร์ ที่งาน CES โชว์เทคโนโลยีนี้มาหลายปีแล้ว อาจจะฝังไปเลยหรือผลิตเป็นอุปกรณ์เสริมจำหน่ายแยกกัน ตอนนี้จีนทำได้แล้ว เป็นทัชสกรีนที่สามารถเล่นเกมขณะฉายหนังผ่านโปรเจคเตอร์ LED ได้พร้อมกัน ขนาดภาพที่ได้จากโปรเจคเตอร์ประมาณ 50 นิ้ว”

ประสิทธิ์มั่นใจว่า แพลตฟอร์มแอนดรอยด์ของกูเกิลจะมาแรงแน่นอนในกลุ่มผู้ไม่ใช่สาวกไอโฟน โดยปีฉลูจะเป็นปีที่ผู้ผลิตคอนเทนท์ผลักดันให้การใช้งานคอนเทนท์นอนวอยซ์ ผ่านโทรศัพท์มือถือมากยิ่งขึ้น ขณะเดียวกัน ยังมีความเป็นไปได้ที่สมาร์ทโฟนจะพัฒนาความสามารถจนทับซ้อนเน็ตบุ๊ก เนื่องจากผู้บริโภคเริ่มมองว่า โทรศัพท์มือถือไม่ใช่โทรศัพท์ แต่เป็นคอมพิวเตอร์ที่รันโปรแกรมโทรศัพท์

“บริษัท OLO เปิดตัว Docking ที่มีหน้าจอใหญ่และคีย์บอร์ดสำหรับเสียบไอโฟน แนวคิดคือถ้าเสียบไอโฟนเข้ากับจอและคีย์บอร์ดก็สามารถเป็นเน็ตบุ๊กได้เลย หน้าจอของไอโฟนที่เป็นทัชสกรีนก็สามารถใช้เป็นทัชแพดได้ ความทับซ้อนกันแบบนี้เป็นไปได้ที่สมาร์ทโฟนจะมาแข่งกับเน็ตบุ๊กในอนาคต”

วินโดวส์ 7 จะทำให้คนซื้อคอมพ์ใหม่

เป็นที่รู้กันว่าวินโดวส์ 7 ระบบปฏิบัติการรุ่นต่อจากวิสต้าที่เชื่อกันว่าจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการใน ไตรมาส 3 ปี 2009 จะมาพร้อมส่วนติดต่อผู้ใช้แบบใหม่ที่ทำให้ผู้ใช้จำเป็นต้องหาคอมพิวเตอร์ หน้าจอสัมผัสมาไว้ในครอบครอง จุดนี้ประสิทธิ์เชื่อว่าเป็นเพราะการคาดการณ์ของไมโครซอฟท์ ที่เชื่อว่าผู้ใช้วินโดวส์เอ็กซ์พีส่วนใหญ่จะซื้อคอมพิวเตอร์เครื่องใหม่ใน ปี 2009

ประสิทธิ์บอกว่าปี 2009 อาจมีแกดเจ็ดเกิดใหม่ในตลาด นั่นคืออุปกรณ์เสริมสำหรับเปลี่ยนหน้าจอธรรมดาให้กลายเป็นหน้าจอสัมผัสที่ สามารถใช้งานเทคโนโลยี Surface ซึ่งไมโครซอฟท์ภูมิใจนำเสนอในวินโดวส์ 7 อุปกรณ์เสริมนี้จะถูกติดตั้งไว้ด้านบนจอภาพ เพื่อทำหน้าที่จับการเคลื่อนไหวของนิ้วมือบริเวณหน้าจอ

สื่อจะพยายามผสมสิ่งพิมพ์กับดิจิตอลเข้าด้วยกัน

ประสิทธิ์ยกคำกล่าวของซีอีโอไมโครซอฟท์ สตีฟ บอลเมอร์ ซึ่งระบุว่านับจากนี้อีก 10 ปี จะไม่มีหนังสือพิมพ์ นิตยสาร หรือสิ่งพิมพ์ใดที่ไม่เผยแพร่ข้อมูลผ่านเครือข่าย IP หรือเครือข่ายออนไลน์ จุดนี้จะทำให้สื่อออนไลน์มีบทบาทมากขึ้นขณะเดียวกันก็ทำให้ “E-Ink” หรือหมึกอิเล็กทรอนิกส์มีบทบาทในสิ่งพิมพ์มากขึ้นในปี 2009 จนเกิดเป็นสิ่งพิมพ์ลูกผสมหรือ Hybrid Media ที่เข้าสู่ความเป็นจริงยิ่งขึ้น

ประสิทธิ์อธิบายว่า E-Ink คือจุดพิกเซลที่เปลี่ยนสีได้เมื่อปล่อยกระแสไฟฟ้าเข้าไป สีพิกเซลที่เปลี่ยนสามารถค้างหรือคงสภาพไว้ได้โดยที่ไม่ต้องใช้แบตเตอรี่สูง ประสิทธิ์ยกตัวอย่างนิตยสาร Esquire ซึ่งเริ่มทำนิตยสาร E-Ink ต้นแบบโดยซ่อนแบตเตอรี่ไว้ในปก ในเล่มมีการทดลองทำให้ฉากหลังของโฆษณารถยนต์เปลี่ยนสีได้จนทำให้ดูเหมือนรถ วิ่งอยู่

เช่นเดียวกัน แนวโน้มการโฆษณาก็เริ่มเข้าสู่โลกดิจิตอลยิ่งขึ้น เช่น การพัฒนาซอฟต์แวร์อ่านโฆษณาภาพนิ่งในนิตยสารเป็นภาพสามมิติอาจได้รับความ นิยมมากขึ้น หรือการที่สถานีโทรทัศน์ช่อง 9 อ.ส.ม.ท. เริ่มทำประชาสัมพันธ์ผ่านทวิตเตอร์ (Twitter) ไมโครบล็อกที่สามารถอัปเดทรายการของสถานีให้กับสมาชิกผ่านโทรศัพท์มือถือ โปรแกรมแชต หรือทางอินเทอร์เน็ตแล้วในขณะนี้ ย่อมเป็นทิศทางที่ชี้ว่าสื่อดั้งเดิมพยายามปรับตัวให้เข้ากับโลกดิจิตอลยิ่ง ขึ้น

บริษัทไอทีขอกินก่อนแล้วค่อยกรีน

ประสิทธิ์คาดการณ์ว่าแกดเจ็ดสีเขียวหรือสินค้าไอทีเพื่อสิ่งแวดล้อม จะเพิ่มขึ้นในปี 2009 แต่จะไม่แรงสุดขีด กรีนแกดเจ็ดที่จะมาแน่นอนในปีนี้คืออีบุ๊ก (E-book) หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ที่โลกจะไม่ต้องสิ้นเปลืองต้นไม้เพื่อทำกระดาษอีกต่อ ไป แต่ในแง่การผลิตสินค้าไอทีเพื่อสิ่งแวดล้อมเช่นโน้ตบุ๊กกรีนจะยังไม่ชัดเจน เพราะวิธีกรีนสินค้าไอทีที่ง่ายที่สุดคือการลดชิ้นส่วน ซึ่งอาจกระทบความมุ่งมั่นพัฒนาคุณภาพสินค้าเพื่อจำหน่ายของผู้ผลิต

“คนไอทีเห็นอีบุ๊กมากกว่า 10 ปีแล้ว ปีหน้าวัสดุที่จะเป็นส่วนประกอบในอีบุ๊กจะบิดได้ เหมือนกระดาษมากขึ้น อ่านชัดขึ้น กินไฟน้อยลง หน่วยความจำเพิ่มขึ้นและออนไลน์ได้ครอบคลุมทุกการเชื่อมต่อ นักอ่านต่างประเทศนิยมมากเพราะไม่ต้องหอบหิ้วหนังสือแสนหนักติดตัวตลอดเวลา ยอมรับว่าอีบุ๊กอาจยังไม่เข้ามาในบ้านเราแต่แนวโน้มปี 2009 คือราคาเครื่องจะถูกลงแน่นอน”

พีซีไร้สมองจะมาแรง

ประสิทธิ์กล่าวว่าในงาน Virtual Machine World 2008 ได้มีการแสดงอุปกรณ์จำลองเครื่องลูกข่ายใหม่ล่าสุด เป็นอุปกรณ์ที่ไม่มีซีพียูแต่สามารถต่อเข้ากับหน้าจอและคีย์บอร์ดเพื่อทำงาน เป็นเหมือนคอมพิวเตอร์เดสก์ท็อปเครื่องหนึ่งได้ จุดนี้ประสิทธิ์เชื่อว่า ปี 2009 จะเป็นปีที่พีซีไร้สมองมาแรง และความนิยมในการทำเวอร์ชวลไลเซชันหรือการทำงานแบบเสมือนก็ยิ่งทำให้เดสก์ ท็อปไร้ความหมายยิ่งขึ้น

“เมื่อ ก่อนเราพูดถึง Thin Client หรือพีซีฉลาดน้อย แต่นี่คือ Zero Client ซึ่งไม่มีสมองเลย มีลักษณะเป็นกล่องเล็กๆที่มีพอร์ตเชื่อมต่อที่สามารถรับสัญญาณจาก เซิร์ฟเวอร์ หนึ่งเซิร์ฟเวอร์สามารถเชื่อมต่อ Zero Client ได้ 35-40 เครื่อง การเก็บหรือเรียกข้อมูลก็ดึงจากเซิร์ฟเวอร์ ไม่ต้องติดตั้งโปรแกรม หากในเครือข่ายหนึ่งต้องใช้ลูกข่าย 30 เครื่อง ก็ไม่ต้องติดตั้งโปรแกรม 30 ครั้ง ลดความซ้ำซ้อนได้ ลดค่าใช้จ่ายบำรุงรักษาได้เพราะดูแลจากส่วนกลาง เกิดประโยชน์มากแต่ใช้เงินน้อย”

ประสิทธิ์เชื่อว่าแม้ระบบทำงานเสมือนเช่นนี้จะทำให้เดสก์ท็อปพีซี หรือพีซีตั้งโต้ะไร้ความหมายลงไป แต่เชื่อว่าตลาดเดสก์ท็อปจะไม่หายไปง่ายๆ โดยเฉพาะในกลุ่มสถาบันการศึกษา ที่ยังคงต้องใช้งานเดสก์ท็อปต่อไป

วัฒนธรรมถ่ายคลิปและเครือข่ายสังคมสร้างแกดเจ็ตใหม่

เครือข่ายสังคมจะไม่ถูกมองว่าสร้างรายได้ในแง่โฆษณาอีกต่อไป ปี 2009 ประสิทธิ์เชื่อว่าตลาดแกดเจ็ดเพื่อใช้งานบนเครือข่ายสังคม เช่น ไฮไฟว์ จะเกิดขึ้น เช่นเดียวกับวัฒนธรรมถ่ายคลิป ก็อาจเกิดเป็นบริการด้านการถ่ายคลิปวีดีโอเพิ่มขึ้น

“นอก จากเครือข่ายสังคมจะขายโฆษณาได้ เชื่อว่าจากนี้จะขาย Accessory ได้ด้วย ตอนนี้มีการจำหน่ายเสื้อยืดที่พิมพ์สัญลักษณ์หนึ่งไว้ หากเอากล้องดิจิตอลไปถ่ายภาพสัญลักษณ์นั้นด้วย Accessory นี้ ก็จะปรากฏเป็น Profile ที่สามารถเอาไปแอดในไฮไฟว์ได้ทันที บริการด้านถ่ายวีดีโอคลิปก็เริ่มมีมากขึ้น เช่นมีเว็บไซต์หนึ่งที่ให้บริการถ่ายคลิปวีดีโอด้วยโน้ตบุ๊กนาน 12 วินาที นั่นคือ 12seconds.tv

ถึงยุคเทราไบต์

ประสิทธิ์เชื่อว่าปี 2009 คือปีที่ชาวไอทีจะได้สัมผัสกับความจุข้อมูลมหาศาลหน่วยเทราไบต์หรือประมาณหนึ่งพันกิกะไบต์

“กิ๊กเราพูดกันมาเยอะแล้ว เชื่อว่าคราวนี้จะถึงยุคเทราไบต์ ปีนี้เราอาจได้ใช้โน้ตบุ๊กที่มีพื้นที่จุข้อมูลเป็นเทราไบต์ก็ได้”

อีคอมเมิร์ชจะถูกพูดถึงอีกรอบ

ประสิทธิ์เชื่อว่า กระแสความนิยมคลิปวีดีโอ ความแพร่หลายของกล้องถ่ายรูปดิจิตอล รวมถึงภาวะเศรษฐกิจถดถอยล้วนมีส่วนเสริมให้พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ถูกหยิบยก มาตั้งความหวังกันอีกครั้ง หลังจากที่เคยถูกตั้งความหวังกันมานับครั้งไม่ถ้วน

“ปี 2009 อาจจะมีการพูดถึงกระแสอีคอมเมิร์ชขึ้นมาอีก เศรษฐกิจไม่ดีเมื่อไหร่คนก็พูดถึงอีคอมเมิร์ช ตอนนี้มีคลิป มีกล้อง พวกนี้ส่งเสริมได้ และความเทคโนโลยีเหล่านี้ผู้ประกอบการอีคอมเมิร์ชบ้านเราก็ยังใช้ไม่คุ้ม ยังใช้แค่ขายในไทยไม่ได้ขายต่างชาติ ถ้าเปิดตลาดต่างชาติก็จะยิ่งเติบโตมากกว่านี้”

Company Relate Link :
AR